ตามที่มีข่าวสารในสื่อต่าง ๆ ถึงเรื่องไทยไม่มีมาตรการปกป้องผู้ประกอบการไทย และยอมทำข้อตกลงที่เสียเปรียบกับจีน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ
จากที่มีผู้โพสต์ข้อความว่า ไทยไม่มีมาตรการปกป้องผู้ประกอบการไทย และยอมทำข้อตกลงที่เสียเปรียบกับจีน ทางกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า ไทยได้มีการตราพระราชบัญญัติการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเริ่มใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti – Dumping : AD) ตั้งแต่ปี 2545 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
โดยกฎหมายดังกล่าวอนุวัติมาจากความตกลงตอบโต้การทุ่มตลาดขององค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อสร้างความเป็นธรรมและเยียวยาความเสียหายให้แก่อุตสาหกรรมภายในประเทศ (ที่ส่งออกมาไทยในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายในประเทศนั้น ๆ และทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับความเสียหาย) ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศทำหน้าที่เป็นหน่วยงานไต่สวนมาตรการฯ และเสนอคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน พิจารณากำหนดมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดในรูปแบบของการเก็บอากร AD นอกเหนือไปจากอากรขาเข้า
โดยปัจจุบันไทยใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดกับสินค้าจากจีนจำนวน 15 สินค้า โดยเป็นสินค้าเหล็ก 12 สินค้าและสินค้าอื่น 3 สินค้าและอยู่ระหว่างการไต่สวนอีก 1 รายการสินค้า ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียนแล้วไทยใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดกับจีนมากที่สุด
ทั้งนี้ ไทยไม่มีการทำข้อตกลงที่เสียเปรียบกับจีน เพราะ พ.ร.บ. ดังกล่าว บังคับใช้กับสินค้าทุ่มตลาดจากทุกประเทศตามบทบัญญัติทางกฎหมายเดียวกัน และในด้านของการทำความตกลงทางการค้า ไทยไม่มีความตกลงเป็นการเฉพาะกับจีน แต่ใช้กรอบ FTA ภายใต้อาเซียน-จีน และ RCEP เท่านั้น ซึ่งไม่มีข้อตกลงที่เป็นพิเศษกว่าที่บัญญัติใน WTO
ดังนั้นขอเตือนให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ https://www.dft.go.th/th-th/ หรือโทร. 02-528-7500-29
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ไทยมีกฎหมายตอบโต้การทุ่มตลาดจากต่างประเทศ เป็นมาตรการปกป้องผู้ประกอบการไทย และไทยไม่มีความตกลงทางการค้าเป็นการเฉพาะกับจีน แต่ใช้กรอบ FTA ภายใต้อาเซียน-จีน และ RCEP เท่านั้น ซึ่งไม่มีข้อตกลงที่เป็นพิเศษกว่าที่บัญญัติใน WTO
